วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ : สงครามยุทธหัตถี

 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ




                                                 
                                   ยุทธหัตถี
              ยุทธหัตถี หรือ การชนช้าง (Elephant Duel) คือการทำสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นการทำสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศ เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ และเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้จะถึงแก่ชีวิตได้

                                          ประวัติและลักษณะจำเพาะ

                
              การกระทำยุทธหัตถีเป็นประเพณีสงครามที่รับมาจากอินเดีย โดยช้างที่ใช้ เรียกว่า "ช้างศึก" โดยมากจะนิยมเลือกใช้ช้างพลายที่กำลังตกมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงครามจะกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา เกิดความฮึกเหิมเต็มที่ โดยจะแต่งช้างให้พร้อมในการรบ เช่น ใส่เกราะที่งวงหรืองาเพื่อรื้อทำลายค่ายคูของฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า "ช้างกระทืบโรง" หรือล่ามโซ่หรือหนามแหลมที่เท้าทั้งสี่ ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้างให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้าเพื่อไม่ให้ช้างตกใจและเสียสมาธิ เรียกว่า "ผ้าหน้าราหู"
ตำแหน่งของผู้ที่นั่งบนหลังช้างจะมีด้วยกัน 3 คน คือ ตำแหน่งบนคอช้าง จะเป็นผู้ทำการต่อสู้ โดยอาวุธที่ใช้สู้ส่วนมากจะเป็นง้าว ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณและส่งอาวุธที่อยู่บนสับคับให้แก่คอช้าง โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่าง ๆ เช่น โล่ เป็นต้น และตำแหน่งควาญช้างซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด และหากเป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ จะมีทหารฝีมือดี 4 คนประจำตำแหน่งเท้าช้างทั้ง 4 ข้างด้วย เรียกว่า "จาตุรงคบาท" ซึ่งไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันด้วย หากตามไม่ทันจะมีโทษถึงชีวิต
โดยมากแล้ว ผลแพ้ - ชนะของการทำยุทธหัตถีจะขึ้นอยู่กับขนาดของช้าง ช้างที่ตัวใหญ่กว่าจะสามารถข่มขวัญช้างที่ตัวเล็กกว่า เมื่อช้างที่ตัวเล็กกว่าหนีหรือหันท้ายให้ หรือช้างตัวใดที่สามารถงัดช้างอีกตัวให้ลอยขึ้นได้ จะเปิดจุดอ่อนให้โจมตีได้ตรง ๆ การฟันด้วยของ้าวเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ถึงชีวิตได้ โดยร่างอาจขาดหรือเกือบขาดเป็นสองท่อนได้ เรียกว่า "ขาดสะพายแล่ง"

                                            

                                  ช้างศึก..ช้างที่ใช้ในการทำยุทธหัตถี

            ช้างที่จะถูกจัดให้เป็นช้างศึกนั้น ต้องเป็นช้างพลาย (ช้างเพศผู้) มีลักษณะตรงตามตำราคชลักษณ์ คือ รูปร่างใหญ่โตกำยำ หัวกะโหลกหนาและใหญ่ แก้มเต็มสมบูรณ์ หน้าเชิดหลังต่ำ งายาวใหญ่มีความโค้งและแหลมคมได้ที่ โดยที่ช้างเชือกที่ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีและสามารถสู้เอาชนะช้างเชือกอื่นได้ จะถูกเรียกว่า "ช้างชนะงา"
นักวิชาการที่ทำการศึกษาเรื่องช้างในประเทศไทยเชื่อว่า ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2310 ช้างต้นที่เป็นทั้ง ช้างศึกและช้างเผือก ในพระราชวังน่าจะอพยพหนีมาอยู่ยังเขาอ่างฤๅไน ซึ่งในสมัยโบราณช้างที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นช้างต้น จะอยู่ที่ ดงพญาเย็น หรือ ดงพญาไฟ ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันนี้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน จังหวัดฉะเชิงเทรา นักวิชาการเชื่อว่า ช้างป่าที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้น่าจะสืบเชื้อสายมาจากช้างศึกหรือช้างเผือกในสมัยโบราณ เพราะเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ. 2549 เจ้าหน้าที่ของอุทยาน สามารถบันทึกภาพช้างป่าตัวผู้ ตัวหนึ่งที่มีลักษณะตรงตามลักษณะของช้างศึก และให้ชื่อช้างตัวนี้ว่า "รถถัง" และยังพบช้างป่าอีกตัวหนึ่งที่มีลักษณะตรงตามลักษณะช้างศึกอีกเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นสถานที่พบช้างเผือกในรัชกาลปัจจุบันอีกด้วย

                                          
สงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปี พ.ศ. 2135 ที่ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับชัยชนะ
ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย
เช้าของวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว" พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะรีเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน...

                                 คลิป : การแสดงสมเด็จพระนเรศวรสงครามยุทธหัตถี

          ในปัจจุบันนั้น ช้างศึกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลทีมชาติไทย และมีฉายาว่า "ช้างศึก" อีกด้วย

         ที่มา เนื้อหาและภาพประกอบ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ...


                                                                           

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

การใช้ภาพเคลื่อนไหวในการประกอบ Article 5ชิ้น





1.การแต่งหน้าขั้นเทพ!!


2.คลิปสิงโตกินคน


3.หนังตัวอย่าง Yes or No อยากรักก็รักเลย


4.ฝรั่งพูดไทยชัด สอนภาษาอังกฤษ



5.วิธีทำ คาโบนาร่าแบบง่ายๆ

ที่มา อ้างอิง : Youtube

10 ท่าโยคะสำหรับผู้หญิง (ฝึกด้วยตัวเองที่บ้านได้)











ที่มา อ้างอิง : Mthai

10 ผลไม้ยอดฮิตของเมืองไทย....

1.เงาะ


2.ส้มโอ


3.มะพร้าว


4.แตงโม


5.ลำไย


6.มังคุด


7.น้อยหน่า


8.ทุเรียน


9.ฝรั่ง


10.มะม่วง

อ้างอิง ที่มา : วิกิพีเดีย

วิธีทำ แซนวิชหน้ากุ้งแตงกวาญี่ปุ่น....



     •   ขนมปังโฮสวีท                                          5        แผ่น
แตงกวาญี่ปุ่นสไลซ์ตามยาวลูก1ลูก
กุ้งกุลาดำลวกสุก5ตัว
เนยสด    ¼ถ้วยตวง
มายองเนส½ถ้วยตวง




    •   ทาเนยสดบนแผ่นขนมปังบาง ๆ ทามายองเนสทับอีกครั้ง
วางแตงกวาญี่ปุ่นทีละแผ่นให้ต่อกันจนเต็มแผ่นขนมปัง
ตัดขนมปังให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสจำนวน 9 ชิ้น
วางกุ้งบนชิ้นขนมปังที่ตัดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียบร้อยแล้ว

จิ้มด้วยไม้จิ้มค็อกเทลตกแต่งให้สวยงาม จัดใส่ถาดหรือภาชนะอื่น ๆ ตกแต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ


วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Dinner ยามเย็น Style บ้านน้ำเคียงดิน...

" Di nnEr ยามเย็น   Style By บ้านน้ำเคียงดิน "

           

           บรรยาศเเสนสบายที่บ้านน้ำเคียงดินร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสายที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศไทย นั่นก็คือถนนอักษะ เป็นร้านอาหารที่บรรยากาศดี โรเเมนติก  บรรยากาศร้านเป็นสไตล์แนวคันทรีของทางยุโรปตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวางถึง  22 โร่   ใครอยากสัมผัสกับลมเย็นๆ อากาศโปร่งๆ บรรยากาศสบายๆ ก็เลือกนั่งกันได้ทั้งนอกร้าน หรือใครที่อยากนั่งในร้านนั่งในร้านก็มีบริการแอร์เย็นฉ่ำโดยทางร้านยังตกเเต่งภายในสไตล์แบบยุโรปเข้ากับบรรยากาศ ซึ่งแต่ละมุมทางร้านได้ประดับประดาด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานชนิดแตกต่างกันออกไป พร้อมสนามน้ำขนาดใหญ่ที่มีทั้ง หงส์ดำ,หงส์ขาว ,เป็ด,กระต่ายที่แสนน่ารักไว้ดึงดูดเด็กๆให้ใกล้ชิดกับสัตว์ และ ธรรมชาติยิ่งขึ้นและสามารถมองเห็นความงดงามของถนนอักษะยามค่ำคืนได้

 


ในทางด้านส่วนของอาหารทางร้าน "บ้านน้ำเคียงดิน " ได้นำเสนออาหารหลายรูปแบบมีทั้งอาหารไทย จีน และฝรั่ง โดยเมนูสุดฮิดของร้านก็คือ

เมนูที่1. ขาหมูเยอรมัน ราคา 260 บาท  เสริฟพร้อมซาวเค้าว์และมันผัด ขาหมูกรอบนอกนุ่มในพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและกับน้ำเกรวี่


เมนูที่2. ซี่โครงหมูอบกาแฟ ราคา 340 บาท  เสริฟพร้อมมันบดและราดน้ำกาแฟอบน้ำผึ้งหยดด้วยน้ำเฟรสโต้รอบข้าง หอมหวานเนื้อหมูไม่ติดกระดูกทานง่าย 



เมนูที่3. ปลากระพงนอนสบาย ราคา 280 บาท เมนูนี้เหมาะสมทั้งสำหรับกับแกล้มและทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ เป็นปลาสด ทอดทั้งตัว ราดด้วยน้ำยำมะม่วงผสมเนื้อสับประรดและถั่งลิสง


เมนูที่4. ปูเนื้อหลน ราคาตามน้ำหนัก ปูเนื้อทั้งตัวต้มในกะทิใส่หมูสับ เสริฟพร้อมด้วยผักสดและขมิ้นขาว หวานมันอบเปรี้ยว เนื้อปูสดและเนื้อเเน่น



เมนูที่5. ปลากะพงกิเลน ราคา 280 บาท เป็นปลาสดเลาะก้างใส่เห็ดหอมเเฮมและหน่อไม้     นึ่งซีอิ้ว หวานเค็มกลมกล่อม

และเมนูสุดท้ายที่ไม่ควรพลาดพอทานอาหารคาวเสร็จก็คือ
เมนูที่6. กล้วยหอมทอด ราคา 90 บาท หั่นกล้วยเป็นชิ้นแล้วชุบแป้งทอด โรยหน้าด้วย  น้ำตาลไอซ์ซิ่ง


และเครื่องดื่มที่เอาใจคอดื่มเบียร์ที่ไม่ต้องไปดื่มถึงเมืองนอกทางร้านบ้านน้ำเคียงดินก็ได้นำเข้าเบียร์ Weissen beer   และเบียร์   Hofbean beer  เป็นเบียร์ดำสมุนไพรและเบียร์ผลไม้ที่ทานคู่กับขาหมูเยอรมันและไส้กรอกรวมเข้ากันได้เป็นอย่างดี


และทางร้านยังมีความโดดเด่นเรื่องพนักงานที่แตกต่างแบบไม่เหมือนใครโดยเฉพาะชุดแต่งกายของพนักงานที่ออกแบบให้เข้ากับร้านและบรรยากาศอย่าลงตัวเหมือนอยู่กับชนบทของแถบยุโรปแถวเยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี อีกด้วย
และอีกด้านของความพิเศษของร้านบ้านน้ำเคียงดินคือมีการบริการลูกค้าของทางร้านยังมีการให้บริการร่มและรถเข็นเพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าของทางร้านบ้านน้ำเคียงดินอีกด้วย


ที่ตั้งของร้าน บ้านน้ำเคียงดิน 

60/1 หมู่ 12 ถนนอักษะ ศาลาธรรมสพน์ ทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170 
เวลาเปิดบริการ: จันทร์ - พฤหัสบดี เปิดเวลา  17.00 น.
ศุกร์ - อาทิตย์  วันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดเวลา  16.00 น.
ปิดเวลาเที่ยงคืน  แต่ครัวจะปิดตั้งแต่ 22.00 น. เป็นต้นไป
เบอร์โทรศัพท์  02-4413837

Alice In Wonderland



เรื่องย่อ
วอล์ท ดิสนีย์ พิคเจอร์ส และ ทิม เบอร์ตัน สุดยอดผู้กำกับที่มีจินตนาการแสนบรรเจิด กับการมาถึงของภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัย 3 มิติสุดจี๊ด “อลิซในแดนมหัศจรรย์” กับการผจญภัยครั้งใหม่ที่ดัดแปลงจากหนังสือนิยายคลาสสิคทั้ง 2 เล่มที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของทุกคน บวกกับความมหัศจรรย์แห่งจินตนาการและตัวละครสุดเพี้ยนที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน

สาวน้อย อลิซ ในวัย 19ปี ที่ต้องเดินทางกลับสู่ดินแดนพิศวงอีกครั้ง หลังจากที่เธอเคยไปมาแล้วเมื่อครั้งยังเด็ก เธอยังได้พบกับเหล่าเพื่อนในวัยเด็ดของเธอไม่ว่าจเป็น “คุณกระต่ายขาว ไวท์แรบบิท”, “แฝดยักษ์อ้วนจอมป่วน ทวีเดิลดี กับ ทวีเดิลดัม”, “ดอร์เม้าส์ หนูตัวจิ๋ว”, “หนอนผีเสื้อ”, “แมว เชอร์ชายร์” และที่ขาดไม่ได้ “แมด แฮทเทอร์” การเดินทางสุดมหัศจรรย์ในครั้งนี้ อลิซ จะต้องยุติการครองบัลลังก์อันโหดร้ายของราชินีแดงลงให้ได้ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงที่ร่วมแสดงอีกมากมายเช่น แอนน์ แฮทธาเวย์, เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, และ คริสพิน โกลฟเวอร์

การถ่ายทอดผลงานชั้นเยี่ยมของ ลูอิส แครร์โรล “อลิซในดินแดนมหัศจรรย์” (ประพันธ์เมื่อ ค.ศ.1865) และ “อลิซผจญภัยโลกในกระจก” (ประพันธ์เมื่อ 1871) ด้วยเทคนิคสุดล้ำเหนือจินตนาการและงานสร้างสุดอลังการที่จะสะกดทุกสายตาของผู้ชม ผ่านตัวละครสุดเพี้ยนทั้งหลายรวมถึงแฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมสุดจี๊ด ที่อาจจะกลายมาเป็นเท

รนด์แฟชั่นในปี 2010 เลยก็เป็นได้

อลิซ คิงสลีย์ วัย 19 ปี เด็กสาวผู้มีจินตนาการพลุกพล่าน มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะสืบต่อกิจการของคุณพ่อ แต่คุณแม่ของเธอต้องการให้เธอแต่งงานกับเฮมิช ลูกชายของท่านลอร์ด ในขณะที่เธอกำลังจะถูกสวมแหวนหมั้น เธอก็เห็นกระต่ายสีขาวสวมเสื้อสีกรมท่าถือนาฬิกา เหมือนในความฝันเธอเปี๊ยบ เธอจึงขอเวลาตัดสินใจแล้ววิ่งตามกระต่ายไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเลยตกลงสู่โพรงกระต่าย สู่ดินแดนใต้บาดาลนาม "วันเดอร์แลนด์"
อลิซได้เดินทางตามเส้นทางที่คุ้นเคย พบกับสิ่งมีชีวิตและคนประหลาด และพบตัวเองว่าเธอเคยมาที่นี่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ชาววันเดอร์แลนด์ต่างรอคอยการกลับมาของเธอ เพราะหลังจากที่เธอไป ราชินีแดงได้ใช้กำลังทางทหารเปลี่ยนวันเดอร์แลนด์ให้กลายเป็นฝันร้าย และคุกคามราชินีขาวจนนางต้องไปสร้างวังอยู่ไกล อลิซจึงต้องช่วยราชินีขาวปลดแอกราชินีแดงออกจากบัลลังก์ เพื่อนำสันติสุขมาสู่ดินแดนมหัศจรรย์

"อลิซในดินแดนมหัศจรรย์" เป็นหนังที่ดูง่ายและไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ก็แฝงความนัยที่ลึกซึ้งอยู่ในเนื้อเรื่อง มีทั้งด้านมืดและสว่าง เดินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป มีการดัดแปลงทั้งโครงเรื่องและบุคลิกของตัวละครให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ทุกตัวมีบทบาทเท่ากันและมีความสัมพันธ์กัน ไม่มีตัวไหนบทเยอะกว่า ขณะเดียวกัน ก็ไม่ลืมที่จะคงความตื่นเต้นเอาไว้ ประกอบกับความสวยงามของ CG ที่ไม่เน้นความสมจริง แต่สมบูรณ์แบบ
ธีมส่วนใหญ่ของหนัง ดูเหมือนเป็นการผสมธีมของชาร์ลีฯ + นาร์เนีย แม้แต่เพลงประกอบก็มีท่วงทำนองจังหวะคล้ายกับชาร์ลีฯ และนาร์เนีย มีกลิ่นอายของหนังภาคก่อนๆ ของเบอร์ตัน อย่าง Planet of the Apes และ Sweeny Todd นิดๆ 
"อลิซในดินแดนมหัศจรรย์"  สอนให้รู้ว่า ในโลกแห่งความเ็ป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่คิดเป็นฝัน อาจไม่ใช่ฝัน สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในอนาคตอาจจะ้เป็นไปได้ขึ้นมา ใครจะรู้ ดูได้จากสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมีส่วนคล้ายกับบางสิ่งในวันเดอร์แลนด์ เช่น กุหลาบแดง กุหลาบขาว ลูกสาวฝาแฝด หนอนผีเสื้อ และหญิงเสียสติ ล้วนเป็นอัจฉริยะของคนเขียนบททั้งหมด